Showing posts with label สาระและความทันสมัยของวัสดุ. Show all posts
Showing posts with label สาระและความทันสมัยของวัสดุ. Show all posts

Thursday, November 14, 2013

วิธีป้องกันเหตุพลิงรุกรานตามสถานที่ต่างๆ

Thank you for visited We hope  all visited can find details about information on my website




ความเสียหายที่เกิดจากอัคคีภัย เป็นการยากที่จะควบคุมและป้องกันมิให้เกิดอัคคีภัยขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและ เสมอไปเพราะ อัคคีภัยนั้นเปรียบเสมือน "ศัตรูที่ไม่รู้จักหลับ" และความประมาทเลินเล่อของผู้ทำงานหรือผู้ประกอบกิจการเป็นจำนวนมาก ย่อมจะเกิดและมีขึ้นได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จึงเห็นควรที่จะต้องช่วยกันป้องกันอัคคีภัยในการป้องกันอัคคีภัยจะมีสิ่งที่ ควรปฏิบัติ เฉพาะเรื่องเฉพาะอย่างอีกมากมาย แต่ก็ มีหลักการง่าย ๆ ในการป้องกันอัคคีภัยอยู่ 5 ประการ คือ

1. การจัดระเบียบเรียบร้อยภายในและภายนอกอาคารให้ดี เช่น การขจัดสิ่งรกรุงรังภายในอาคาร บ้านเรือนให้หมดไป โดยการเก็บรักษาสิ่งที่อาจจะเกิดอัคคีภัยได้ง่ายไว้ให้เป็นสัดส่วน ซึ่งเป็นบันได ขั้นต้นในการป้องกันอัคคีภัย

2. การตรวจตราซ่อมบำรุงบรรดาสิ่งที่นำมาใช้ในการประกอบกิจการ เช่น สายไฟฟ้า เครื่อง
จักรกล เครื่องทำความร้อน ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และความปลอดภัยก็จะป้องกันมิให้เกิดอัคคีภัย ได้ดียิ่งขึ้น

3. อย่าฝ่าฝืนข้อห้ามที่จิตสำนึกควรพึงระวัง เช่น
 (1) อย่าปล่อยให้เด็กเล่นไฟ
 (2) อย่าจุดธูปเทียนบูชาพระทิ้งไว้
 (3) อย่าวางก้นบุหรี่ที่ขอบจานที่เขี่ยบุหรี่ หรือขยี้ดับไม่หมด ทำให้พลัดตกจากจาน หรือ สูบบุหรี่บนที่นอน
 (4) อย่าใช้เครื่องต้มน้ำไฟฟ้าแล้เสียบปลั๊กจนน้ำแห้ง
 (5) อย่าเปิดพัดลมแล้วไม่ปิดปล่อยให้หมุนค้างคืนค้างวัน
 (6) อาจมีเครื่องอำนวยความสุขอย่างอื่น เช่น เปิดโทรทัศน์ แล้วลืมปิด
 (7) วางเครื่องไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น ติดฝาผนัง ความร้อนระบายออกไม่ได้ตามที่ควรเป็น เครื่องร้อนจนไหม้ตัวเองขึ้น
 (8) อย่าหมกเศษผ้าขี้ริ้ว วางไม้กวาดดอกหญ้า หรือซุกเศษกระดาษไว้หลังตู้เย็น บางครั้ง สัตว์เลี้ยงในอาคารก็คาบเศษสิ่งไม้ใช้ไปสะสมไว้หลังตู้เย็นที่มีไออุ่นอาจ เกิดการคุไหม้ขึ้น
 (9) อย่าใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือปลอมแปลงคุณภาพ เช่น บาลาสต์ที่ใช้กับ หลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนท์เมื่อเปิดไฟทิ้งไว้อาจร้อน และลุกไหม้ส่วนของอาคารที่ติดอยู่
 (10) อย่าจุดหรือเผาขยะมูลฝอย หญ้าแห้ง โดยไม่มีคนดูแล เพราะไฟที่ยังไม่ดับเกิดลมพัด คุขึ้นมาอีก มีลูกไฟปลิวไปจุดติดบริเวณใกล้เคียงได้
 (11) อย่าลืมเสียบปลั๊กไฟฟ้าทิ้งไว้
 (12) อย่าทิ้งอาคารบ้านเรือนหรือคนชราแลเด็กไว้โดยไม่มีผู้ดูแล
 (13) อย่าสูบบุหรี่ขณะเติมน้ำมันรถ
 (14) ดูแลการหุงต้มเมื่อเสร็จการหุงต้มแล้วให้ดับไฟถ้าใช้เตาแก๊สต้องปิดวาล์วเตาแก๊สและถังแก๊สให้เรียบร้อย
 (15) เครื่องเขียนแบบพิมพ์บางชนิดไวไฟ เช่น กระดาษไข ยาลบกระดาษไข กระดาษแผ่นบาง ๆ อาจเป็นสื่อสะพานไฟทำให้ เกิดอัคคีภัยติดต่อคุกคามได้
 (16) ดีดีที สเปรย์ฉีดผม ฉีดใกล้ไฟ จะติดไฟและระเบิด
 (17) เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในคืนฝนตกหนัก เพราะสายไฟที่เก่าเปื่อย เมื่อวางทับอยู่กับฝ้าเพดาน ไม้ผุที่มีความชื้นย่อมเกิดอันตราย จากกระแสไฟฟ้าขึ้นได้
 (18) เกิดฟ้าผ่าลงที่อาคารขณะมีพายุฝน ถ้าไม่มีสายล่อฟ้าที่ถูกต้องก็ต้อง เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ได้อย่างแน่นอน
 (19) เตาแก๊สหุงต้มในครัวเรือนหรือสำนักงานเกิดรั่ว
 (20) รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เกิดอุบัติเหตุหรือถ่ายเทน้ำมันเบนซิน เกิดการรั่ว ไหลก็น่าเกิด อัคคีภัยขึ้นได้
 (21) ในสถานที่บางแห่งมีการเก็บรักษาเคมีที่อาจก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ง่าย อาจ คุไหม้ขึ้นได้เอง สารเคมีบางชนิด เช่น สีน้ำมันและน้ำมันลินสีด เป็นต้น เมื่อคลุกเคล้ากับเศษผ้าวางทิ้งไว้อาจคุไหม้ขึ้นเอง ในห้องทดลองเคมีของ โรงเรียน เคยมีเหตุ เกิดจากขวดบรรจุฟอสฟอรัสเหลือง (ขวด) พลัด ตกลงมา เกิดแตกลุกไหม้ขึ้น
 (22) ซ่อมแซมสถานที่ เช่น การลอกสีด้วยเครื่องพ่นไฟ การตัดเชื่อมโลหะด้วย แก๊สหรือไฟฟ้า การทาสีหรือพ่นสีต้องทำด้วย ความระมัดระวัง อาจเกิดไฟ คุไหม้ขึ้นได้

4. ความร่วมมือที่ดี จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงนายตรวจป้องกันอัคคีภัยได้ ให้ไว้ และปฏิบัติตามข้อห้ามที่วาง ไว้เพื่อความปลอดภัยจากสถาบันต่างๆ

5. ประการสุดท้าย จะต้องมีน้ำในตุ่มเตรียมไว้สำหรับสาดรดเพื่อให้อาคารเปียกชุ่มก่อนไฟจะมาถึง เตรียมทรายและเครื่องมือดับเพลิงเคมี ไว้ให้ถูกที่ถูกทางสำหรับดับเพลิงชั้นต้นและต้องรู้จักการใช้ เครื่องดับเพลิงเคมีด้วย และระลึกอยู่เสมอว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วจะ ต้องปฏิบัติดังนี้
 (1) แจ้งข่าวเพลิงไหม้ทันที โทร. 199 หรือสถานีดับเพลิงสถานีตำรวจใกล้เคียงโดยแบ่งหน้าที่กันทำ
 (2) ดับเพลิงด้วยเครื่องดับเพลิงที่มีอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ
 (3) หากดับเพลิงชั้นต้นไม่ได้ให้เปิดประตูหน้าต่างบ้านและอาคารทุกบานและอุดท่อ ทางต่างๆ ที่อาจเป็นทางผ่านความร้อน ก๊าซ และควันเพลิงเสียด้วย

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดเพลงไหม้
 (1) ช่วยคนชรา เด็ก และคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ไปอยู่ที่ปลอดภัย
 (2) อย่าใช้ลิฟต์ในขณะเกิดเหตุ
 (3) ขนย้ายเอกสารและทรัพย์สินที่มีค่าเท่าที่จำเป็นตามสถานการณ์และนำไปเก็บกอง รวมอย่าให้ ฉีกขาดลุ่ย โดยป้องกันมิให้น้ำกระเซ็นเปียก

ข้อควรระวังและวิธีปฏิบัติเมื่อแก๊สรั่ว
 (1) เมื่อได้กลิ่นแก๊สปิดวาล์วหัวถังทันที
 (2) เปิดประตู หน้าต่าง ให้อากาศถ่ายเทเพื่อให้แก๊สเจือจาง
 (3) ห้ามจุดไม้ขีด ไฟแช็ก เปิด-ปิดสวิตซ์ไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบริเวณที่มีแก๊สรั่ว
 (4) ใช้ไม้กวาดกวาดแก๊สออกทางประตู
 (5) ตรวจหาที่รั่วและแก้ไขทันที
 (6) หากถังแก๊สมีรอยรั่วให้นำถังแก๊สนั้นไว้ในที่โล่งที่ปลอดภัย
 (7) ท่อยางต้องไม่อยู่ใกล้เปลวไฟ
 (8) ห้องน้ำที่ใช้เครื่องทำน้ำร้อนแก๊ส ควรมีช่องระบายอากาศเพื่อให้มีออกซิเจนเพียงพอทำอย่างไรให้เกิดเพลิงไหม้มีน้อยที่สุด
      
จาก เบื้องต้นที่กล่าวมาได้เน้นถึงลักษณะและหลักการใช้อุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้น แต่ทั้งนี้จะเป็นการดีมากหากเราสามารถป้องกัน มิให้เกิดเพลิงไหม้ ขึ้นเลย เพราะไม่ว่าเพลิงไหม้จะเกิดขึ้นเล็กน้อยก็จะนำมาซึ่งความเสีย หายทางทรัพย์สินเงินทอง เวลา หรือแม้กระทั่งสุขภาพจิต

Thursday, October 18, 2012

ความเย็นที่ทำให้คนชบใจ แบบดูดซืม






เครื่องทำความเย็นแบบดูดซึม (Absorption Chiller) นับเป็นระบบทำความเย็นที่เป็นทางเลือกที่มีความคุ้มค่าด้านการใช้พลังงาน ถึงแม้ประสิทธิภาพตํ่ากว่าระบบทำความเย็นแบบอัดไอ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพการทำความเย็นของระบบทำความเย็นแบบนี้จะมีแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ระบบการทำ ความเย็นระบบดูดซึมชนิดสามชั้น (Tri Stage Absorption Chiller) มีสมรรถนะการทำความเย็น ( COP) สูงถึง 1.7 เมื่อพิจารณาถึงส่วนประกอบของระบบทำ ความเย็นแบบดูดซึม

อาจกล่าวได้ว่า ระบบทำความเย็นแบบดูดซึมมีส่วนประกอบคล้ายกับระบบอัดไอ คือ เครื่องควบแน่น (Condenser),เครื่องทำระเหย( Evaporator), วาล์วลดความดัน (Expansion Valve) และ เครื่องอัดสารทำความเย็น (Compressor) แต่ในส่วนของเครื่องอัด (Compressor) ในระบบดูดซึมจะเป็นเครื่องอัดชนิดความร้อน (Thermal Compressor) ซึ่งใช้พลังงานความร้อนในการขับเคลื่อนระบบแทน ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นเครื่องดูดซึมความร้อน (Absorber) และอุปกรณ์ให้ความร้อน (Generator) ดังแสดงในรูปที่ 1 จากที่กล่าวมา ระบบทำความเย็นแบบดูดซึม เป็นระบบที่ใช้ความร้อนมาขับเคลื่อนระบบ ซึ่งมีความหลากหลายของแหล่งพลังงานความร้อนที่จะมาขับเคลื่อนระบบ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเครื่องทำความเย็นแบบนี้ เช่น ใช้พลังงานความร้อนทิ้งจากกระบวนการหรืออุปกรณ์ทางความร้อน หรือแม้แต่พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ ( Solar Thermal) หรือพลังงานความร้อนใต้พิภพ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบมากกว่าระบบอัดไอมาก ที่ต้องใช้พลังงานกลในการทำให้เครื่องอัดทำงาน



การประยุกต์ระบบ CCHP หรือ Tri-Generation สำหรับงานอาคาร

การใช้พลังงานภายในอาคารหรือที่พักอาศัย ประมาณร้อยละ 60-70 ใช้เพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในอาคาร รองลงมาใช้ในระบบแสงสว่าง ประมาณร้อยละ 25 นอกจากนี้ ถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรม หรืออพาร์ทเมนต์ จะมีระบบนํ้าร้อนเพิ่มด้วย เพื่อสำหรับการชำระร่างกายหรือการชำระล้าง หรืออาจกล่าวได้ว่า การใช้พลังงานของกลุ่มอาคารธุรกิจจะมีการใช้พลังงานความร้อน ความเย็น และไฟฟ้า ควบคู่กันไปตลอดเวลา และกลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มการใช้พลังงานสูงขึ้นทุกปี

ระบบทำความเย็นสำหรับระบบปรับอากาศในอาคาร

โดยทั่วไปเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในอาคารขนาดใหญ่จะเป็นเครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนย์ ที่เรียกว่า ชิลเลอร์ (Chiller)ซึ่งแบ่ง 2 ระบบใหญ่ คือ ระบบระบายความร้อนด้วยนํ้า หรือระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบทำความเย็นด้วยชิลเลอร์ จะอาศัยนํ้าเป็นตัวนำพาความเย็นไปยังห้องหรือจุดต่าง ๆ โดยนํ้าเย็นจะไหลไปยังเครื่องทำลมเย็น (Air Handing Unit – AHU หรือ FanCoil Unit - FCU) ที่ติดตั้งอยูใ่ นบริเวณที่ปรับอากาศ จากนั้นนํ้าที่ไหลออกจากเครื่องทำลมเย็นจะถูกปั้มเข้าไปในเครื่องทำ นํ้าเย็นขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งอยู่ในห้องเครื่อง และไหลเวียนกลับไปยังเครื่องทำ ลมเย็นอยู่เช่นนี้ สำ หรับเครื่องทำ น้ำ เย็นนี้จะต้องมีการนำความร้อนจากระบบออกมาระบายทิ้งภายนอกอาคารด้วย ดังแสดงในรูปที่ 2

บริเวณหรือห้องที่จะปรับอากาศจะมีแต่เครื่องทำลมเย็นเท่านั้น โดยนำเย็นจะถูกส่งผ่านระบบท่อนํ้าเย็นจากเครื่องทำนํ้าเย็น (Chiller) โดยนํ้าเย็นจะมีอุณหภูมิประมาณ 6-8 oC ซึ่งจะไหลเข้าไปในเครื่องทำลมเย็นที่ประกอบด้วย แผงท่อนํ้าเย็นที่มีนํ้าเย็นไหลอยู่ภายในแผ่นกรองอากาศ โดยทั่วไปเครื่องทำลมเย็นจะประกอบด้วย แผงใยอะลูมิเนียม พัดลม และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ดูดอากาศจากบริเวณที่ปรับอากาศให้ไหลผ่านแผ่นกรองและแผงท่อนํ้าเย็นหลักจากนํ้าเย็นแลกเปลี่ยนความร้อนกับอากาศภายในบริเวณที่ปรับอากาศจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ประมาณ 10-13 oC และเคลื่อนที่กลับไปยังเครื่องทำนํ้าเย็นอีกครั้งเพื่อลดอุณหภูมิลง ระบบทำความเย็นจะทำงานแบบนี้ต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อปรับอากาศในอาคารให้อยู่ในอุณหภูมิที่กำหนด

Thursday, December 22, 2011

ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับการประหยัดไฟฟ้า







ว่าด้วยเรื่องการประหยัด อาจรับรู้รับฟังมาจากหลากหลายสื่อ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำ แต่เคยถามตัวเองสักครั้งไหม สิง่ที่เรารับรู้รับฟังมานั้น เราท่านได้นำมาปฏิบัติกันมากน้อยเพียงไร ซึ่งมนุษย์เรามักดำเนินชีวิจในรูปแบบเดิมๆ หรือเอาแต่เรื่องของความสะดวกสบายส่วนเข้าตัวเข้าว่าจริงหรือไม่ ฉะนั้นเรื่องการประหยัดไฟฟ้าหรือพลังงานรูปแบบอื่น จึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างไร แต่เป็นเรื่องเก่าที่เรานำมาเล่าใหม่เพื่อให้จำฝั่งใจนั้นเอง

อันที่จริง… เรื่องการประหยัดไฟฟ้านั้น อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่มีเรื่องของสภาพอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทวีปที่มีอากาศหนาว อากาศร้อน รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศอุตสาหกรรม ยกตัวอย่าง การใช้หลอดไฟในครัวเรือนของสหรัฐอเมริกามากกว่ายุโรป 3 เท่า ใช้ตู้เย็นมากกว่ายุโรป 2 เท่า ซึ่งแต่ละทวีปหรือแต่ละประเทศมีการใช้ไฟฟ้ามากน้อยต่างกันไม่ได้ชี้ว่าจะมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ามากหรือน้อยกว่ากัน แต่สิ่งที่บ่งชี้ถึงการใช้ไฟฟ้า คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่ามากน้อยเพียงไร

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงจะกินไฟน้อยกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพต่ำ 2-10 เท่า ทั้งที่มีการทำงานเหมือนกัน ซึ่งการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัด จะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อปีได้เป็นจำนวนมาก โดยได้รับความสะดวกสบายเหมือนเดิมประเทศไทยและอีกหลายประเทศมีกฎข้อบังคับที่ต้องติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพไว้ในเครื่องใช้แทบทุกประเภท โดยในประเทศไทยใช้ฉลากตัวเลข 1, 2, 3, 4, 5 เป็นตัวบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของการประหยัดพลังงาน ในยุโรปรูปแบบฉลาก A++ หมายถึง ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด รองลงไปก็คือ A+, A, B, D ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพที่ลดหลั่นลงไปตามลำดับ ในสหรัฐอเมริกามีการใช้สัญลักษณ์ดาวในฉลากพลังงาน เพื่อบอกถึงประสิทธิภาพการประหยัดไฟฉลากเบอร์ 5 หมายถึง ประหยัดไฟได้มากที่สุดสำหรับประเทศไทย แน่นอนว่าอาจมีราคาที่สูงกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าคุณภาพต่ำ แต่ในระยะยาวจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากโดยที่เราไม่รู้ตัว

อีกหนึ่งตัวแปลที่หลายคนมองข้ามกับการสูญเสียจากการ Standby เครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียพลังงานอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันจะกินไฟแม้ขณะที่ปิดเครื่อง โดยเฉพาะ ทีวี เครื่องเล่น DVDเครื่องเสียง จอคอมพิวเตอร์ กล่องเคเบิล และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ จะมีการเสียบปลั๊กทิ้งไว้เสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเรียกใช้งาน หากเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทางออกที่ดีที่สุด คือ การหาซื้อเครื่องใช้ที่กินไฟในการใช้พลังงานสำรองต่ำๆ ซึ่งจะระบุการใช้พลังงานสำรองไว้ในคู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์และสามารถตรวจสอบได้ก่อนซื้อ และสิ่งที่หลายคนยังไม่ทราบ คือ ค่าใช้จ่ายของพลังงานที่เสียไปในโหมด Standby ตลอดอายุการใช้งานอาจสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ เลยทีเดียว

เชื่อหรือไม่ว่า การใช้ไฟฟ้าที่สิ้นเปลือง เป็นสาเหตุก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้เพราะไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นพลังงานที่เกิดจากการเผาผลาญถ่านหินน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้ามา กระบวนการพวกนี้จะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศ ดังนั้น แค่ประหยัดไฟก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว

ฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับการที่เราจะใส่ใจในเรื่องของการประหยัดไฟฟ้าการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับประเทศไทยนั้น อย่างที่ภาครัฐสนับสนุนและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง จนติดตาติดใจว่า การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าควรมองหาฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นหลัก แต่มีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกอื่นๆให้เราเลือกพิจารณาอีก คือ สัญลักษณ์ Green–Label ฉลากเขียว อันนี้เป็นโครงการที่มีการร่วมมือกันจากหลายฝ่าย โดยมีคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อที่จะพิจารณาออกฉลากเขียวนี้ให้กับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และสัญลักษณ์ Eco–Friendly หรือ Eco– Labelเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าสินค้านั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายระบบนิเวศน์ ย่อยสลายง่าย นำไปรีไซเคิลได้ และอื่นๆ

อย่าเพิ่งเบื่อกับการนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพราะเรื่องของพลังงานเป็นเรื่องที่เราสามารถพูดถึงกันได้หลายช่วงอายุคน เพราะยังไงเสีย โลกกลมๆ ใบนี้ยังต้องพึ่งพาพลังงานต่อไปอีกนาน การที่เราจะประหยัดพลังงานหรือไฟฟ้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในกระเป๋านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คิดเสียว่า ทำก่อน ก็ประหยัดก่อน จริงหรือไม่?

Thursday, October 20, 2011

อันตรายเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า




สถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้มีประชาชนเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมาก อีกปัญหาที่นับว่าน่ากลัวไม่แพ้สัตว์มีพิษชนิดต่างๆ ที่หนีน้ำขึ้นมาอยู่ตามบ้านเรือนของประชาชน นั่นคือ "กระแสไฟฟ้ารั่ว" ก่อให้เกิดอันตรายจนถึงชีวิต
                
ภัยจากไฟดูดเป็นอันตรายที่ซ่อนตัวได้แนบเนียนระหว่างเกิดอุทกภัย เพราะมองด้วยตาเปล่าไม่อาจบอกได้เลยว่าพื้นที่ใดมีกระแสไฟฟ้ารั่วอยู่
                
ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 มีผู้เสียชีวิตจากการเกิดไฟฟ้าช็อตหลายราย จึงมีหลายหน่วยงานพยายามคิดค้นเครื่องตรวจกระแสไฟฟ้า หรือเครื่องตัดกระแสไฟเพื่อป้องกันอันตราย
                
เช่นเดียวกับการคิดค้น "เครื่องตรวจเตือน-ตัดไฟรั่ว" ในน้ำ ซึ่งเป็นแนวคิดของ นายดุสิต สุขสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
                
อาจารย์ดุสิต กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ "เครื่องตรวจเตือน-ตัดไฟรั่ว" เพราะเล็งเห็นว่าเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมบ้าน หลายคนคิดว่าหากเกิดน้ำท่วมถึงเต้าไฟในบ้าน เมื่อตัดเบรกเกอร์แล้วก็ป้องกันไฟฟ้ารั่วได้ แต่ที่จริงแล้วยังมีกระแสไฟฟ้าอยู่
                
"แม้ว่ามีบ้าน 2 ชั้น น้ำท่วมที่ชั้น 1 ตัวเต้าไฟอยู่ชั้น 2 แต่ก็ทำให้น้ำซึมผ่านระบบไฟฟ้าได้เหมือนกัน แม้แต่กระดาษทิชชู่ที่ดูดน้ำขึ้นไป ก็ทำให้ตัวเต้าระเบิดถึงช็อต ถึงแม้จะมีสายดินก็ตาม"
                
อาจารย์ดุสิต ระบุว่า เครื่องตรวจเตือน-ตัดไฟรั่ว ที่ประดิษฐ์มี 2 แบบ คือ เครื่องที่ช่วยตรวจวัดไฟฟ้ารั่วในน้ำ หรือชื่อว่า "เป็ดกระปุก" ที่นำกระปุกพลาสติกมาประยุกต์ต่อกับวงจรไฟฟ้า เมื่อจุ่มเป็ดกระปุกตัวนี้สามารถทราบได้ว่าน้ำท่วมบริเวณนั้นมีไฟรั่วไหลออกมาหรือไม่
                
นอกจากนี้หากอยู่ในพื้นที่น้ำลึกจะมีตัวที่ลักษณะการใช้งานเหมือนกันแต่เพิ่มท่อพีวีซี ที่มีความยาวประมาณ 1 เมตร เพื่อตรวจไฟรั่วในน้ำในกรณีที่อยู่ในเรือ หรือน้ำที่มีความลึก ซึ่งเสี่ยงอย่างยิ่งหากน้ำท่วมแต่ไฟฟ้าไม่ถูกตัดถึงแม้จะมีสายดินก็ตาม อีกเครื่องคือ เครื่องตัดไฟ ซึ่งเครื่องนี้ตัดไฟได้ทันทีหากเกิดไฟรั่ว ลักษณะคล้ายปลั๊กไฟสำรองสามารถนำไปวางต่อกับปลั๊กไฟของบ้าน เพื่อป้องกันกรณีที่เกิดไฟรั่ว อุปกรณ์จะตัดสัญญาณทันที
                
แนวคิดในการประดิษฐ์อุปกรณ์ชุดนี้ อาจารย์ดุสิต กล่าวว่า ตอนนี้เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัด มีหลายหน่วยงานเข้าช่วยเหลือและมีผู้ประสบภัยอีกมากที่ไม่สามารถทราบเลยว่าบริเวณที่เราอาศัยอยู่มีไฟฟ้ารั่วในพื้นที่หรือไม่ เสี่ยงอย่างยิ่งว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต

"เครื่องมือที่ทำขึ้นไม่ใช่เพื่อกันไฟไหม้ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า แต่กันคนเสียชีวิต เพราะเครื่องทั้ง 2 แบบ สามารถช่วยท่านตรวจและตัดไฟฟ้ารั่วในน้ำ อุปกรณ์ทั้งหมดจะนำไปแจกจ่ายชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน"

ทั้งนี้ สำหรับชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมขณะนี้แม้จะลำบากต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังต้องระมัดระวังกระแสไฟฟ้าที่อาจรั่ว จนถูกไฟดูดจนเสียชีวิต สิ่งสำคัญต้องไม่ประมาท

Tuesday, September 27, 2011

การก่อสร้างบันไดหนีไฟที่ทันสมัย





การสร้างบันไดหรือบันไดหนีไฟในอาคารนั้น ต้องมีมาตรฐานการสร้างบันได ตามพรบ.การควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กำหนด มิเช่นนั้นหากละเลยอาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้อาคารได้ ในอาคารขนาดใหญ่ อาทิ โรงมหรสพ หอประชุม โรงงาน โรงแรม โรงพยาบาล หอสมุด ห้างสรรพสินค้า ตลาด สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ ท่าอากาศยาน สถานีขนส่งมวลชน ที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงเกิน 1 ชั้น นอกจากมีบันไดตามปกติแล้ว จำเป็นต้องมีทางหนีไฟโดยเฉพาะอย่างน้อยอีกหนึ่งทาง และต้องมีทางเดินไปยังทางหนีไฟนั้นได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง

               สำหรับอาคารสาธารณะที่มีชั้นใต้ดินตั้งแต่ 1 ชั้น ขึ้นไป นอกจากมีบันไดตามปกติแล้ว ะต้องมีทางหนีไฟโดยเฉพาะอย่างน้อยอีกหนึ่งทางด้วย อาคารที่มีชั้นใต้ดินตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป ซึ่งสำหรับบันไดหนีไฟนั้นต้องทำด้วยวัสดุทนไฟและถาวร มีความกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร และไม่เกิน 150 เซนติเมตร ลูกตั้งสูงไม่เกิน 20 เซนติเมตร และลูกนอนกว้างไม่น้อยกว่า 22 เซนติเมตร ชานพักกว้างไม่น้อยกว่าความกว้างของบันได มีราวบันไดสูง 90 เซนติเมตร ห้ามสร้างบันไดหนีไฟเป็นแบบบันไดเวียนพื้นหน้าบันไดหนีไฟต้องกว้างไม่น้อยกว่าความกว้างของบันได และอีกด้านหนึ่งกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร ในกรณีที่ใช้ทางลาดหนีไฟแทนบันไดหนีไฟ ความลาดชันของทางหนีไฟดังกล่าวต้องมีความลาดชันไม่เกินร้อยละ 12 ของพื้นที่

               บันไดหนีไฟภายในอาคารที่ไม่ใช่อาคารสูง ต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร มีผนังที่ก่อสร้างด้วยวัสดุทนไฟและถาวรกั้นโดยรอบ เว้นแต่ส่วนที่เป็นช่องระบายอากาศและช่องประตูหนีไฟ และแต่ละชั้นต้องมีช่องระบายอากาศที่เปิดสู่ภายนอกอาคารได้มีพื้นที่รวมกันไม่น้อยกว่า 1.40 ตารางเมตร โดยต้องมีแสงสว่างให้เพียงพอทั้งกลางวันและกลางคืน บันไดหนีไฟภายในอาคาร ที่เป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ ที่ไม่สามารถเปิดช่องระบายอากาศได้ ต้องมีระบบอัดลมภายในช่องบันไดหนีไฟที่มีความดันลมขณะใช้งานไม่น้อยกว่า 38.6 ปาสกาลมาตร ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติเมื่อเกิดเพลิงไหม้ และบันไดหนีไฟที่ลงหรือขึ้นสู่พื้นของอาคารนั้นต้องอยู่ในตำแหน่งที่สามารถออกสู่ภายนอกได้โดยสะดวก

               ส่วนตึกแถวหรือบ้านแถวที่มีจำนวนชั้นไม่เกิน 4 ชั้น หรือสูงไม่เกิน 15 เมตรจากระดับถนน บันไดหนีไฟจะอยู่ในแนวดิ่งก็ได้แต่ต้องมีชานพักบันไดทุกชั้น โดยมีความกว้างไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร ระยะห่างของขั้นบันไดแต่ละขั้นไม่มากกว่าที่ตั้งบันไดหนีไฟต้องมีระยะห่างระหว่างประตูห้องสุดท้ายด้านทางเดินที่เป็นทางตันไม่เกิน 10 เมตร ระยะห่างระหว่างบันไดหนีไฟตามทางเดินต้องไม่เกิน 60 เมตร ต้องมีบันไดหนีไฟจากชั้นสูงสุดหรือดาดฟ้าสู่พื้นดินถ้าเป็นบันไดหนีไฟภายในอาคารและถึงพื้นชั้น 2 ถ้าเป็นบันไดหนีไฟภายนอกอาคาร และประตูของบันไดหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟมีความกว้างไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า 1.90 เมตร สามารถทนไฟได้ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ต้องเป็นบานเปิดชนิดผลักเข้าสู่บันไดเท่านั้น

               ชั้นดาดฟ้า ชั้นล่างและชั้นที่ออกเพื่อหนีไฟสู่ภายนอกอาคารให้เปิดออกจากห้องบันไดหนีไฟพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ชนิดที่บังคับให้บานประตูปิดได้เอง ประตูหรือทางออกสู่บันไดหนีไฟต้องไม่มีขั้นหรือธรณีประตูหรือขอบกั้น นอกจากนี้ยังต้องมีป้ายเรืองแสงหรือเครื่องหมายไฟแสงสว่างด้วยไฟสำรองฉุกเฉินบอกทางออกสู่บันไดหนีไฟ ติดตั้งเป็นระยะตามทางเดินบริเวณหน้าทางออกสู่บันไดหนีไฟ และทางออกจากบันไดหนีไฟ สู่ภายนอกอาคารหรือชั้นที่มีทางหนีไฟได้ปลอดภัย โดยป้ายดังกล่าวต้องแสดงข้อความทางหนีไฟ เป็นอักษรมีขนาดสูงไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร หรือเครื่องหมายที่มีแสงสว่างและแสดงว่าเป็นทางหนีไฟให้ชัดเจนอีกด้วย

Friday, November 10, 2000

วิธีการวิเคราะค์งานก่อสร้าง







  คำว่า “การตรวจสอบ” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพุทธศักราช 2542 มีความหมายโดยแบ่งคำเป็น “ตรวจ” หมายความว่า พิจารณาดูความเรียบร้อย เช่น ตรวจพล ตรวจราชการ พิจารณาดูว่าถูกหรือผิด ดีหรือร้าย เป็นต้น เช่น ตรวจบัญชี ตรวจแบบฝึกหัด ตรวจดวงชะตา พิจารณาหาสมมุติฐาน เช่น ตรวจโรค สำรวจ ตรวจพื้นที่ และ “สอบ” หมายความว่า ตรวจ ทดลอง เปรียบเทียบ เพื่อหาข้อเท็จจริง หรือวัดให้รู้ว่ามีความรู้หรือความสามารถแค่ไหน เช่น สอบตาชั่งให้ได้มาตรฐาน สอบราคาสินค้า สอบปากคำผู้ต้องหา สอบพิมพ์ดีด

    ความหมายของคำว่า “การตรวจสอบ” ในงานทางวิศวกรรมนั้นถูกกำหนดโดยกฎกระทรวงกำหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ. 2550 อาศัยอำนาจตามความในบทนิยามคำว่า “วิชาชีพวิศวกรรม” และ “วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม” ในมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 ข้อที่ 3 งานในวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมแต่ละสาขา วงเล็บห้าให้งานพิจารณาตรวจสอบ หมายถึง การค้นคว้า การวิเคราะห์ การทดสอบ การหาข้อมูลและสถิติต่างๆ เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ หรือประกอบการตรวจสอบวินิจฉัยงานหรือในการสอบทาน


ตัวอย่างของงานพิจารณาตรวจสอบความเสียหายและให้คำแนะนำแก้ไขอาคารทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ซึ่งเกิดการทรุดตัวและแตกร้าว โดยวิศวกรโยธามีใบอนุญาตระดับวุฒิวิศวกร ได้ทำการสำรวจอาคารทาวเฮ้าส์ อาคารข้างเคียงและสภาพโดยรอบ พิจารณาตรวจสอบสภาพชั้นดินและข้อมูลการออกแบบเดิมที่ใช้ค่าส่วนความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานออกแบบโดยทำการพิจารณานำข้อมูลข้างต้น สรุปความเสียหายของอาคารว่าเกิดความเสียหายจากเหตุใด วิศวกรผู้รับจ้างต้องดำเนินการในงานที่ได้รับว่าจ้างมา โดยทำอย่างถูกต้องตามหลักปฏิบัติและวิชาการ ของจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพวิศวกรรม

    พระราชบัญญัติวิศวกร 2542 มาตรา 4 “วิชาชีพวิศวกรรม” หมายความว่า วิชาชีพวิศวกรรมในสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเหมืองแร่ วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมอุตสาหการ และสาขาวิศวกรรมอื่นๆ ที่กำหนดในกฎกระทรวง “วิชาชีพวิศวกรรมควบคุม”
หมายความว่า วิชาชีพวิศวกรรมที่กำหนดในกฎกระทรวง “ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมจากสภาวิศวกร กฎกระทรวงกำหนดสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ. 2550 กำหนดให้งานที่ต้องควบคุมของแต่ละสาขาวิชาชีพ เช่น ตามข้อที่ 5 ประเภทและขนาดของวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมโยธามี 21 ประเภท เป็นต้น

    ส่วนการตรวจสอบในงานวิศวกรรมในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่3) พ.ศ. 2543 จะเป็นการตรวจสอบที่ควบคุมอาคารเท่านั้น โดยกำหนดให้ผู้ตรวจสอบผ่านการอบรม ผ่านการสอบ และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจสอบอาคารให้อำนาจขอบข่ายงานในการตรวจตราเบื้องต้น ในการควบคุมอาคารตามกฎหมายกำหนดไว้ โดย “ผู้ตรวจสอบ” ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 หมายความว่า ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือผู้ซึ่งได้รับใบ อนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณีซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามพระราชบัญญัตินี้ งานตรวจสอบอาคาร จึงเป็นงานตรวจสอบอาคารตามที่ได้ระบุไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการตรวจสอบอาคาร ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “กฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของผู้ตรวจสอบ และหลักเกณฑ์การตรวจสอบอาคาร พ.ศ. 2548” ซึ่งมีลักษณะต่างกับงานพิจารณาตรวจสอบตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ วิศวกร พ.ศ. 2542

   การออกกฎหมายผู้ตรวจสอบอาคารออกมานั้น อันเนื่องมาจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอาคารวิบัติเกิดขึ้นมากมาย เป็นต้นว่า โรงแรมโรยัล พลาซ่า จังหวัดนครราชสีมา โรงงานผลิตตุ๊กตาเคเดอร์ จังหวัดนครปฐม โรงแรมรอยัล จอมเทียน จังหวัดชลบุรี ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่พัง เครื่องเล่นไฟฟ้าในสวนสนุกไหม้ เป็นต้น จึงได้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็น ฉบับที่ 3 ให้มีการตรวจสอบสภาพอาคาร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543

    ขอบเขตของการตรวจสอบอาคารนั้น ผู้ตรวจสอบมีหน้าที่ตรวจสอบ สังเกต ทำรายงาน วิเคราะห์ ความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ระบบและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ของอาคาร และระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย เพื่อลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้สอยอาคาร ในฐานะผู้ตรวจสอบวิชาชีพที่มีความรู้ ซึ่งได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดตามหลักวิชาชีพ และตามมาตรฐานการตรวจสอบสภาพอาคารและโรงงานอุตสาหกรรมในด้านความปลอดภัยของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ณ สถานที่ วัน และเวลาที่ทำการตรวจสอบตามที่ระบุในรายงานเท่านั้น  

Wednesday, October 18, 2000

ความรู้เกี่ยวกระเบื้องเซรามิกเอามาสร้างบ้าน









ในการตกแต่งผนังอาคาร ผลิตภัณฑ์ที่ถูกเลือกใช้งานเพื่อตอบสนองการออกแบบที่สวยงามและง่ายต่อการติด ตั้ง มักจะเป็นกระเบื้องเซรามิก เราต้องยอมรับว่าในอาคารแต่ละหลังตั้งแต่บ้านพักอาศัยหลังเล็ก ไปจนอาคารชุดพักอาศัยระดับซุปเปอร์ลักซูรี่ต่างก็ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ กระเบื้องเพื่อปูพื้นหรือกรุผนังในห้องใดห้องหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะห้องน้ำ ซึ่งในปัจจุบันนี้ถือได้ว่าตลาดของผู้บริโภคกลุ่มนี้กว้างมากมีทั้งในระดับ ล่างไปจนระดับบนที่สูงสุดๆ ผู้ผลิตสินค้ากระเบื้องเซรามิกต่างก็พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และมีการพัฒนาลวดลายสีสันใหม่ๆ ตามความต้องการของตลาด ซึ่งเราอาจมองว่ากระเบื้องเซรามิกเป็นสินค้าแฟชั่นอย่างหนึ่งก็ได้

ด้วยลวดลายใหม่ๆ พร้อมด้วยสีสันที่ทางผู้ผลิตกระเบื้องต่างพัฒนาออกมาอย่างหลากหลาย อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนในการเลือกใช้งานได้ อีกทั้งคุณลักษณะพิเศษต่างๆ ของกระเบื้องที่มีคุณสมบัติจำเพาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีจุดประสงค์ ที่แตกต่างกัน ทำให้เราเลือกใช้งานไม่ถูกได้เช่นกัน อย่างน้อยเนื้อหาในบทความนี้จะช่วยทำให้ผู้ที่ต้องการเลือกใช้กระเบื้อง เซรามิกมีความเข้าใจในประเภทของกระเบื้อง อีกทั้งคุณสมบัติที่เราควรจะคำนึงถึงสำหรับการใช้งานในพื้นที่ต่างๆ อีกด้วย เมื่อเราเข้าใจในชนิดของกระเบื้องเซรามิกที่มีอยู่ในท้องตลาด และทราบว่าถึงคุณสมบัติในการใช้งาน เราก็สามารถเลือกใช้กระเบื้องเซรามิกได้ตรงตามความต้องการของเราอย่างสูงสุด 

อย่างแรกเราควรทำความรู้จักประเภทของกระเบื้องเซรามิกก่อน ว่ามีลักษณะการใช้งานอย่างไรบ้าง นั่นคือ 1. กระเบื้องกรุผนัง 2. กระเบื้องปูพื้น 3. กระเบื้องสำหรับตกแต่ง หรือหากแบ่งตามประเภทของเนื้อกระเบื้อง ตามกระบวนการผลิตและคุณภาพการรับรองตามมาตราฐานสากล ซึ่งเป็นการจำแนกประเภทตามแนวทางการผลิต เราสามารถแบ่งประเภทของกระเบื้องได้ดังนี้

1. กระเบื้องกรุผนัง 

กระเบื้องที่ใช้สำหรับกรุผนังของบ้านหรืออาคาร ในอดีตเรานิยมใช้งานในห้องน้ำเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาสีสันและลวดลายให้มีความสวยงาม จนสามารถนำมามาใช้งานได้ในทุกพื้นที่ของบ้านหรืออาคารได้เลย ซึ่งข้อดีของการใช้กระเบื้องกรุผนังทดแทนการทาสีหรือการใช้วอลล์เปเปอร์ก็ คือ กระเบื้องจะมีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำความสะอาดง่ายกว่า และสามารถออกแบบลูกเล่นต่างๆ ในการตกแต่งได้ตามไอเดียของเจ้าของบ้านเองได้

เนื้อดินของกระเบื้องกรุผนังจะเป็นชนิด Earthen ware ที่มีเปอร์เซ็นต์ในการดูดซึมน้ำสูง (15-22%) และมีความแข็งแรงไม่สูงมากนัก ส่วนสีเคลือบผิวส่วนใหญ่มักจะเป็นผิวมัน ดังนั้นจึงไม่ควรนำเอากระเบื้องชนิดนี้ไปใช้งานที่ต้องรับน้ำหนักมากหรือ ต้องสัมผัสกับน้ำอยู่ตลอดเวลา หรือใช้ในพื้นที่ที่มีการขูดขีดสูง เช่น พื้นที่สาธารณะหรือปูพื้น เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวของกระเบื้อง และหมดความสวยงามได้ในที่สุด นอกจากนี้หากนำกระเบื้องกรุผนังซึ่งมีผิวมันมากไปใช้ปูพื้นก็อาจทำให้เกิด การลื่นไถลและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้สอยอาคารได้

คุณสมบัติของเนื้อกระเบื้องกรุผนังจะต้องมีน้ำหนักเบา มีความพรุนตัวสูง มีความแข็งแรงปานกลาง โดยขนาดของกระเบื้องแต่ละแผ่นต้องได้มาตรฐาน เพื่อที่เวลาปูกระเบื้องแล้วจะทำให้ได้แนวของกระเบื้องที่สวยงาม ไม่ควรมีการหดตัวเมื่อติดตั้งไปแล้ว หรือเกิดการแตกร้าวของผิวเคลือบ (Delay crazing) เมื่อใช้งานไปในระยะเวลาหนึ่ง ที่อาจเกิดมาจากการขยายตัวเพราะความชื้น และสีเคลือบต้องมีความทนทานต่อสารเคมีได้ เนื่องจากในการใช้สอยที่ต้องทำความสะอาดพื้นกระเบื้องด้วยน้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดหรือเบส

2. กระเบื้องปูพื้น 

กระเบื้องชนิดนี้ไว้ใช้สำหรับปูพื้นเพื่อให้เกิดความสวยงาม ซึ่งมีความคงทนและทำความสะอาดได้ง่าย สามารถใช้ทดแทนวัสดุที่มีราคาสูง เช่น หินแกรนิต หินอ่อน หรือพื้นไม้ เป็นต้น 

เนื้อกระเบื้องเป็นเนื้อ Stone ware ที่มีเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำต่ำถึงปานกลาง (~3-6%) มีความแข็งแรงปานกลาง ลักษณะผิวเคลือบมีทั้งแบบผิวมันและผิวด้าน นอกจากนี้ยังมีลวดลายแพทเทิร์นต่างๆ ให้เลือกมากมายขึ้นอยู่กับการใช้งานของพื้นที่ที่จะปูกระเบื้อง

คุณสมบัติที่สำคัญของกระเบื้องปูพื้น แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เราเห็นหรือสัมผัสได้ เช่น สีสัน ลวดลาย ลักษณะของผิวเคลือบ ขนาด คุณภาพของผิวหน้า ความโค้ง-แอ่นของกระเบื้อง และส่วนที่เป็นคุณสมบัติทางกายภาพ ที่ผู้ใช้งานไม่สามารถวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่ทางผู้ผลิตได้มีการควบคุมคุณภาพตามมาตราฐานที่กำหนดเอาไว้ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาภายหลังการใช้งาน โดยคุณสมบัตินั้น ได้แก่

ความแข็งแรงของเนื้อกระเบื้อง ที่ต้องได้ตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้กระเบื้องแตกหรือร้าว เมื่อใช้งานในพื้นที่ที่ต้องรับแรงกดมาก

การดูดซึมน้ำ จะต้องไม่สูงเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้กระเบื้องเกิดการดูดซึมน้ำ ซึ่งจะเกิดเป็นความชื้นสะสมอยู่ในเนื้อกระเบื้องอาจทำให้สีของกระเบื้อง เปลี่ยนไปได้ หรืออาจพบปัญหาน้ำเมือกคล้ายเจลเกาะเป็นคราบ ทำให้ความสะอาดได้ยาก ส่งผลให้ผิวกระเบื้องลดความสวยงามลง และหากมีความชื้นสูงประกอบกับการดูดซึมน้ำของกระเบื้องมีมาก สามารถทำให้กระเบื้องร่อนออกจากพื้นซีเมนต์ได้

ความทนทานต่อการขูดขีด โดยขึ้นอยู่กับคุณภาพของผิวเคลือบ ผิวมันจะมีความทนทานต่อการขูดขีดต่ำ ทำให้เกิดเป็นรอยได้ง่ายกว่าผิวด้าน ดังนั้นในการใช้งานกระเบื้องผิวมันควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีขูดขีดเกิดขึ้น สูง

ความต้านทานต่อสารเคมี ในการทำความสะอาดพื้นกระเบื้องเซรามิกนั้น ส่วนใหญ่เรามักใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเบส ที่มีฤทธิ์กัดคราบสกปรกได้รุนแรง กระเบื้องปูพื้นที่ดีควรผ่านการทดสอบสารเคมีและรับประกันคุณภาพสินค้าด้วย

ความต้านทานต่อการขัดสี การใช้งานกระเบื้องปูพื้นเราไม่อาจหลีกเลี่ยงการเสียดสีหรือขัดสีระหว่าง ผิวกระเบื้องกับฝุ่นละออง ทราย กรวด พวกนี้ได้ การทดสอบความทนทานต่อการขัดสีของพื้นผิวตามมาตรฐานของ PEI (Porcelain Enamel Institution) กำหนด โดยการนำเอาผงขัดมาเข้าเครื่องขัดผิวหน้ากระเบื้อง กำหนดให้จำนวนรอบในการขัดที่แตกต่างกัน และสังเกตผลที่เกิดขึ้นกับผิวเคลือบภายหลังการขัดผิวหน้าของกระเบื้อง ซึ่งจะทำให้เราสามารถจัดระดับชั้นของกระเบื้องตามค่าของการแบ่งระดับชั้น (ค่า PEI) ได้ดังนี้

ขั้นที่ 0 ทนทานต่อรอยขูดขีด ได้ 100 รอบของการขัดสี กระเบื้องเคลือบสีในชั้นนี้ไม่แนะนำให้ใช้สำหรับปูพื้น

ขั้นที่ 1 ทนทานต่อรอยขูดขีด ได้ 150 รอบของการขัดสี แนะนำให้ใช้ในพื้นที่ที่มีการสัญจรโดยสวมรองเท้าพื้นนิ่มหรือเท้าเปล่า โดยไม่มีฝุ่นละอองเช่นในห้องนอน หรือในห้องน้ำ

ขั้นที่ 2 ทนทานต่อรอยขูดขีด ได้ 600 รอบของการขัดสี แนะนำให้ใช้ในพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรโดยสวมรองเท้าพื้นนิ่มหรือรองเท้าปกติ และมีฝุ่นผงบ้างในจำนวนน้อยเช่นห้องต่างๆ ภายในบ้าน

ขั้นที่ 3 ทนทานต่อรอยขูดขีด ได้ 750 หรือ 1,500 รอบของการขัดสี แนะนำให้ใช้ในพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรบ่อยครั้งด้วยรองเท้าปกติและมีฝุ่นผงไม่ มากนัก เช่น ห้องครัวภายในบ้าน ระเบียงทางเดิน ลานบ้าน

ขั้นที่ 4 ทนทานต่อรอยขูดขีด ได้ 2,100 หรือ 6,000 หรือ 12,000 รอบของการขัดสี แนะนำให้ใช้ในพื้นที่ที่มีการสัญจรเป็นปกติ ซึ่งมีฝุ่นละอองมาก ทำให้มีสภาพที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าขั้นที่ 3 เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ห้องแสดงนิทรรศการ

ขั้นที่ 5 ทนทานต่อรอยขูดขีด ได้มากกว่า 12,000 รอบและผ่าน ISO10545-14 สำหรับความต้านทานต่อคราบสี แนะนำให้ใช้ในพื้นที่ที่มีการสัญจรพลุกพล่านเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน โดยมีปริมาณฝุ่นผงขัดสีเป็นจำนวนมาก และมีสภาพการใช้งานที่รุนแรงที่สุด เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ ทางเดินสาธารณะ สถานีรถไฟ(ฟ้า) สถานีรถประจำทาง

ในครั้งต่อไปผู้ใช้งานอย่างลืมถามผู้ขายถึงคุณสมบัติการใช้งานที่เหมาะสมตาม ค่า PEI เพื่อเลือกกระเบื้องให้เหมาะกับพื้นที่การใช้งาน หลีกเลี่ยงปัญหาการสูญเสียพื้นผิวที่สวยงามในระยะเวลาอันสั้น 

3. กระเบื้องโมเสค (Mosaic) 
กระเบื้องโมเสคสามารถนำไปใช้ในการปูพื้นก็ได้ หรือกรุผนังก็ได้ ทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยเราเรียกกระเบื้องโมเสคที่ใช้ภายนอกอาคารว่า Facing Tile ส่วนกระเบื้องโมเสคสำหรับปูพื้นควรเป็นชนิดที่เคลือบผิวไม่มันมากนัก เพื่อจะได้ป้องกันการลื่นไถล 

โมเสคเป็นกระเบื้องที่มีเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำต่ำ และมีความแข็งแรงสูง เนื้อกระเบื้องจัดอยู่ในประเภทพวก Porcelain โดยทั่วไปเป็นกระเบื้องขนาดเล็กที่มีขนาดต่ำกว่า 4 นิ้ว ผู้ผลิตจะนำชิ้นโมเสคเหล่านี้ไปติดบนแผ่นไนลอน (Nylon Sheet) เวลาติดตั้งก็ปูไปทั้งแผ่น จำนวนชิ้นของโมเสคในแต่ละแผ่นก็ขึ้นกับขนาดของโมเสค แต่สำหรับ Facing Tile ตัวจบสุดท้าย (Footing) มักจะถูกออกแบบให้มีความลึกมากกว่าโมเสคปกติเพื่อความสามารถในการยึดติดที่ ดี การติดตั้ง Facing Tile ควรจะติดไปบนแผ่นคอนกรีตสำเร็จก่อน แล้วจึงสามารถยกขึ้นไปติดตั้งพร้อมกับการก่อสร้างอาคาร การใช้กระเบื้องโมเสคกับผนังภายนอกอาคาร จะให้ความคงทนได้ดีกว่าสีทาอาคารและยังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่า ไม่สกปรกหรือขึ้นราได้ง่าย

คุณสมับติที่ดีของกระเบื้องโมเสค นั่นคือ สามารถทนทานต่อสารเคมีได้ดีกว่ากระเบื้องชนิดอื่น เพราะผ่านการเผาด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่ากระเบื้องกรุผนังและกระเบื้องปูพื้น ทั่วไป แต่ทำให้สีของตัวกระเบื้องโมเสคมีความเข้ม-อ่อนแตกต่างกันได้ เนื่องจากสภาพความแตกต่างของอุณหภูมิในแต่ละตำแหน่งภายในเตาที่ไม่เท่ากัน ผู้ผลิตจึงนำโมเสคมา Mix pattern จัดเรียงเฉดสีให้ดูกลมกลืนกันใน 1แผ่น เพื่อให้เกิดเป็นการไล่เฉดสีเข้ม-อ่อนต่อกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของกระเบื้องโมเสคก็ว่าได้ หากเลือกใช้กระเบื้องประเภทนี้เราต้องชื่นชอบในความต่างของเฉดสีที่มีบน กระเบื้องชนิดนี้ด้วย ส่วนข้อจำกัดของโมเสคอยู่ที่การทำความสะอาด เพราะกระเบื้องชนิดนี้มีขนาดเล็กทำให้มีรอยต่อระหว่างแผ่น (joint) มาก เวลาทำการปูกระเบื้องต้องใช้ปูนซิเมนต์ขาวยาแนวหลายแถว จึงมีโอกาสทำให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่นได้ง่าย หากดูแลรักษาไม่ดีพอ

4. กระเบื้องแกรนิต (Granite)

กระเบื้องชนิดนี้เป็นกระเบื้องที่มีการผลิตเลียนแบบหินธรรมชาติ ที่มีการเรียกชื่อไปได้หลายแบบ อาทิเช่น Homogeneous tiles, Granite tiles, Granito tiles, Porcelain tiles เป็นการพยายามผลิตกระเบื้องให้มีลักษณะและสีสันให้ใกล้เคียงหินแกรนิต ธรรมชาติมากที่สุด โดยการนำเอาสีเซรามิกเข้าไปผสมกับเนื้อดินเพื่อให้เกิดสีจากภายในเนื้อ กระเบื้องให้แลดูเป็นธรรมชาติ ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่พัฒนาอย่างมาก ทำให้สามารถผลิตกระเบื้องที่เลียนแบบหินธรรมชาติได้แทบทุกชนิด และมีลวดลายตกแต่งที่มีให้เลือกหลากหลาย

กระเบื้องแกรนิตมี เนื้อดินเป็นชนิดแบบ Porcelain ที่มีการนำสีเซรามิกใส่ผสมลงไปกับเนื้อดินทำให้กระเบื้องทั้งแผ่นมีสีเป็น เนื้อเดียวกัน เมื่อใช้กระเบื้องไปจนเกิดการขัดสีหรือการขูดขีดบนผิวหน้าแล้ว เนื้อกระเบื้องด้านล่างก็จะมีสีเช่นเดียวกันกับผิวด้านบน แต่สำหรับกระเบื้องแกรนิตที่ขัดมันแล้วอาจจะพบปัญหาผิวสกปรก หมอง และด้านขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานไปนานๆ 

คุณสมบัติที่สำคัญของกระเบื้องแกรนิต คือ มีการดูดซึมน้ำต่ำมาก กระเบื้องชนิดนี้จึงสามารถใช้ได้ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านในอาคาร ด้านนอกอาคาร ที่จอดรถ สถานที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกผล่าน นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติความแข็งแรงสูง สามารถนำไปใช้เป็นทางเลือกในการปูพื้นที่จอดรถ พื้นทางเดิน ทางเข้าบ้าน พื้นที่ที่ต้องรับแรงกดมากกว่าปกติ 

แผ่นกระเบื้องแกรนิตที่ได้มาตรฐานต้องมีขนาดของกระเบื้องในขนาดใกล้เคียงกัน มาก เวลาปูกระเบื้องได้ชิดชนกันได้สนิทเกิดความสวยงามและดูเหมือนกันปูหิน ธรรมชาติจริงๆ แต่กระเบื้องแกรนิตมีข้อได้เปรียบมากกว่าหินจริงตามธรรมชาติ อย่างหินอ่อนหรือหินแกรนิต เพราะจะมีความแข็งแรงมากกว่า ทำให้สามารถรับแรงกดได้สูงกว่า อีกทั้งมีลวดลายและสีสัน ให้เลือกมากมาย ซึ่งสามารถควบคุมเฉดสีให้กลมกลืนกันได้ดี มีความหนาน้อยกว่าหินธรรมชาติ ทำให้มีน้ำหนักต่อแผ่นเบากว่ามาก และที่สำคัญมีราคาถูกกว่าหินธรรมชาติ โดยเฉพาะสีพิเศษอย่างสีดำ หรือสีแดงเลือดนก ที่จำเป็นต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศเพราะในประเทศไทยไม่มีหินธรรมชาติสี เหล่านั้น สามารถปูและติดตั้งได้ง่ายกว่าหินธรรมชาติ

5. กระเบื้องเคลือบเนื้อแกรนิต 

กระเบื้องชนิดนี้เป็นที่นิยมกันในแถบประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น อย่างในยุโรปและอเมริกา ที่มีอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็งจนทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งถ้ากระเบื้องที่มีเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำสูงก็จะพบปัญหาน้ำที่สะสมอยู่ ในรูพรุนจะกลายเป็นน้ำแข็งและอาจทำให้กระเบื้องแตกได้เมื่อเกิดการการขยาย ตัวของน้ำแข็ง เราเรียกคุณสมบัติที่สามารถทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่อุณหภูมิ ต่ำมากนี้ว่า Frost resistance 

คุณสมบัติของกระเบื้องชนิดนี้เป็นเนื้อ Porcelain ที่ใกล้เคียงกับเนื้อของกระเบื้องแกรนิต ทั้งในเรื่องการดูดซึมน้ำ และความแข็งแรง แต่ที่ผิวหน้าจะมีการเคลือบสีและตกแต่งลวดลายให้เกิดความสวยงาม รวมทั้งช่วยเพิ่มคุณสมบัติด้านการขัดสี ขูดขีด ให้มีความทนทานเพิ่มขึ้นด้วย สารเคลือบที่ใช้กับกระเบื้องเคลือบเนื้อแกรนิต มักจะเป็นการเคลือบเพื่อให้มีความทนทานทั้งกับสารเคมีและการขัดสี จึงสามารถใช้กระเบื้องชนิดนี้ได้ในทุกพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร และสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก 

6. กระเบื้อง Third Firing

เป็นกระเบื้องตกแต่งที่ผ่านการเผาหลายครั้ง ด้วยหลายอุณหภูมิเพื่อให้เกิดความสวยงาม ซึ่งได้จากการนำกระเบื้องปูพื้น หรือกระเบื้องกรุผนัง หรือชนิดอื่นที่ผ่านการเผาแล้วมาทำการตกแต่งลวดลายเพิ่มเติม และนำกลับไปเผาที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมิที่ใช้ผลิตเนื้อกระเบื้องดัง กล่าว อุณหภูมิที่ใช้เผานั้นขึ้นอยู่กับสีที่นำมาตกแต่ง อาจมีการเผามากกว่าหนึ่งครั้งก็ได้ กระเบื้องชนิดนี้จะใช้สำหรับตกแต่งประกอบไปกับกระเบื้องชนิดอื่นๆ ที่นำมาเป็นพื้นเพื่อให้เกิดความสวยงามขึ้น ซึ่งลวดลายนั้นเป็นได้ทั้งลายดอกไม้ ลายกราฟิก รูปการ์ตูน ภาพธรรมชาติ หรือแม้แต่ภาพอิมเพรสชั่นนิสก็ยังสามารถนำมาใช้กับกระเบื้องได้ สามารถนำไปใช้งานเป็นกระเบื้องตัดขอบ(Border) หรือเป็นกระเบื้องที่มีลวดลายแซมอยู่ทั่วไปของพื้นที่ (Spot tiles) แต่ควรระวัง สีที่นำมาตกแต่งกระเบื้องชนิดนี้มีความทนทานต่อการขูดขีด และสารเคมีค่อนข้างต่ำถึงแม้ว่าจะผ่านการเผามาแล้วก็ตาม อาจซีดจางเมื่อผ่านการใช้งานไปนานๆ ได้

7. กระเบื้องที่ได้จากกระบวนการรีด (Extrude tile or Spilt tiles) 

ความแตกต่างของกระเบื้องชนิดนี้กับกระเบื้องขนิดอื่นอยู่ที่กระบวนการผลิต ที่แตกต่างออกไป โดยกระเบื้องชนิดนี้จะขึ้นรูปด้วยการนำดินที่มีความชื้นสูงมาเข้าเครื่องรีด ผ่านหัวแบบ (die) ให้ได้รูปร่างตามแบบ แล้วจึงตัดตามขนาดที่ต้องการ คุณสมบัติของกระเบื้องเมื่อผ่านการเผาจะใกล้เคียงกับกระเบื้องปูพื้น ทั้งในเรื่องของเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำ ความแข็งแรง หรือทนทานต่อสารเคมี แต่ข้อจำกัดของกระเบื้องชนิดนี้ คือ ขาดความหลากหลายของขนาดกระเบื้องโดยเฉพาะกระเบื้องที่มีขนาดใหญ่ ปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาลวดลายให้เกิดความหลากหลายขึ้นจากเดิม ซึ่งตามท้องตลาดเราจะเริ่มเห็น spilt tiles ที่มีลวดลายสวยงามเพิ่มขึ้น เนื้อกระเบื้องเป็นแบบ Stone ware หรือ Porcelain จึงสามารถนำไปใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

8. กระเบื้องดินเผา (Terra cotta) ซึ่งมักเป็นเนื้อ 

กระเบื้องเนื้อ Earthen ware ที่ผลิตจากดินแดงหรือดินที่มีเปอร์เซ็นต์เหล็กออกไซด์สูง ในกระบวนการผลิตจะมีทั้งการขึ้นรูปแบบ Pressing, Extruding และการขึ้นรูปด้วยมือ Handmade มีเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำสูง ความแข็งแรงไม่มากนัก เหมาะสำหรับใช้ในตกแต่งผนังบ้านให้สวยงามมากกว่าคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยที่ แท้จริง แต่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับกระเบื้องชนิดอื่น ปัญหาที่พบมากในการใช้งานกระเบื้องประเภทนี้ คือ เรื่องความสกปรกบนผิวกระเบื้อง ที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายแต่กำจัดออกไปได้ยาก รวมทั้งมักเกิดตะไคร่น้ำได้ง่าย ซึ่งก่อให้เกิดการลื่นไถลเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน จึงไม่เหมาะที่จะใช้งานในพื้นที่ภายนอกอาคารที่ถูกน้ำ หรือในพื้นที่ที่เปียกชื้นเสมอๆ และไม่ควรใช้กับพื้นที่ที่ต้องรับแรงมาก

Thursday, October 12, 2000

ระบบอำน่วยความสะดวกในบ้าน







1. ระบบสุขาภิบาล คืออะไร

          ระบบสุขาภิบาลในบ้าน และอาคาร ประกอบไปด้วย ระบบประปา, ระบบท่อระบายน้ำทิ้ง, ระบบท่อระบายอากาศ, ระบบระบายน้ำฝน และระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น จะเห็นได้ว่าถ้าเปรียบบ้านเป็นคน รูปร่าง ความสวยงามเป็นงานในส่วนสถาปัตยกรรม ระบบสุขาภิบาลก็จะเป็นอวัยวะภายในที่ทำหน้าที่ในร่างกายของเรา ทั้งสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย และขับถ่ายระบายของเสียออกจากร่างกาย หากระบบมีปัญหาเชื่อได้ว่าเจ้าของบ้านคงอยู่ไม่เป็นสุข ดังนั้นการออกแบบที่ดี การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม การติดตั้งที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก


2. จากประสบการณ์ที่พบ มีปัญหาใดบ้างที่เจอบ่อยๆ และมีแนวทางการแก้ไขอย่างไร ปัญหาที่เจอก็จะซ้ำๆ กัน เช่น

    - ท่อรั่ว, ท่อแตกใต้ดิน, ใต้อาคาร, ในกำแพง
    - ห้องน้ำชั้นล่างอืดชักโครกไม่ลง
    - เครื่องสูบน้ำ สูบน้ำไม่ขึ้น, หรือทำงานไม่หยุด หรือเดิน-หยุด, เดิน-หยุดตลอด
    - ห้องน้ำมีกลิ่นเหม็นตลอดเวลา
    - ฯลฯ


3. การออกแบบและการเลือกวัสดุ ระบบประปา จะให้แนวคิดง่ายๆ เป็นข้อๆ ดังนี้

    • ไม่ควรเดินท่อประปาฝังดินให้เดินลอยเลาะรั้วบ้าน, หลีกเลี่ยง (ห้าม) เดินท่อประปาใต้บ้านหากมีความจำเป็นต้องเดินลอดถนนให้ฝังปลอกท่อเหล็กใต้ถนน หรือต้องฝังดินเข้าตัวบ้านก็ให้ใส่ประตูไว้ทุกจุด เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบและซ่อมแซมภายหลัง
    • หากมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องสูบน้ำ เพื่อให้มีแรงดันมากขึ้น ต้องออกแบบให้มีถังเก็บน้ำและให้เดินท่อจากการประปามาจ่ายน้ำให้ถังเก็บน้ำ และให้สูบน้ำจากถังเก็บน้ำนี้เท่านั้น ห้ามสูบน้ำจากท่อที่ต่อกับท่อของการประปาโดยตรง ซึ่งผิดทั้งหลักวิชาการ และยังผิดกฎหมายด้วยซ้ำ
    • ถังเก็บน้ำก็จะต้องมีขนาดเหมาะสมกับขนาดของบ้าน, จำนวนคนที่อาศัยอยู่ ตลอดจนความแน่นอนของการจ่ายน้ำประปาให้กับบ้านเรา โดยปกติก็จะให้มีขนาดที่จุน้ำไว้ใช้ได้ 1-2 วัน โดยที่ไม่มีน้ำจากการประปาเติมเลย มีข้อแนะนำที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ไม่แนะนำให้เอาถังเก็บน้ำฝังดิน เพราะยากต่อการดูแลรักษา ทั้งเรื่องความสะอาดและการรั่วซึม รวมทั้งเครื่องสูบน้ำอาจจะสูบน้ำไม่ขึ้นได้ง่ายด้วย
    • ท่อประปาในบ้านผมแนะนำให้เลือกใช้ท่อพีวีซีชั้น 13.5 เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ราคาถูก ต่อง่าย ไม่เป็นสนิมอายุยืน แต่มีข้อควรระวังเอาใจใส่ในการติดตั้งดังนี้
          1. การตัดต้องใช้เครื่องมือให้เหมาะสมให้แน่ใจว่าตัดได้ฉาก และควรลบเหลี่ยมที่ปลายท่อ (Taper) การทากาวให้ทาที่ท่อในปริมาณที่เหมาะสม ทาให้ตลอดความยาวของท่อที่จะดันเข้าไปในข้อต่อ ถ้าทาสั้นกว่าก็จะดันเข้าไปในข้อต่อได้เท่ากับส่วนที่ทากาวไว้ ปลายท่อที่ทากาวต้องสะอาด
          2. ข้อต่อเกลียวที่ต่อกับวาล์ว หรืออุปกรณ์ของสุขภัณฑ์ที่เป็นโลหะไม่ควรใช้เกลียวพลาสติก เพราะเมื่อหมุนคลายออกเมื่อไร เกลียวพลาสติกจะเสียทำให้น้ำรั่วได้ ถ้าอยู่ในกำแพงก็จะเป็นเรื่องใหญ่ ให้ใช้เกลียวที่เป็นโลหะแทน
          3. การยึดท่อที่เดินไว้ให้มั่นคง เท่าที่ดูงานบ้านทั่วไปจะละเลยข้อนี้มาก อาจจะทำให้ท่อขยับตัว, สั่นกระแทกกับโครงสร้างทำให้รั่วซึมภายหลังได้
          4. สำหรับท่อที่จะต่อกับเครื่องทำน้ำร้อน ควรใช้ท่อทองแดง เพราะท่อพีวีซี ไม่สามารถใช้กับน้ำร้อนได้
    • การเลือกเครื่องทำน้ำร้อน เครื่องทำน้ำร้อนขนาดเล็กส่วนใหญ่ที่ใช้ตามบ้านจะเป็นแบบที่ไม่มีหม้อพัก คือจะอาบน้ำร้อนก็เปิดน้ำให้น้ำไหลผ่านเครื่องทำน้ำร้อน ซึ่งมีคอยล์ทำความร้อนด้วยไฟฟ้าอยู่ ทำให้น้ำร้อนขึ้นทันที แล้วจ่ายน้ำร้อนออกมา เครื่องทำความร้อนแบบนี้ จะแบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ขึ้นอยู่กับกำลังไฟฟ้าที่ใช้ คือ
          1. เครื่องทำน้ำอุ่นจะใช้กำลังไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลวัตต์ ส่วนใหญ่จะมีฝักบัวแถมมาให้เลย ไม่ต้องมีก๊อกผสม มีสวิทซ์ปิด-เปิดเครื่องในตัว จะอาบน้ำอุ่นก็เปิดสวิทซ์ หากอยากจะอาบน้ำเย็นก็ปิดสวิทซ์ มีตัวปรับกำลังไฟให้น้ำอุ่นน้อยมากตามชอบใจ ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นบริเวณที่อาบน้ำเลย
          2. เครื่องทำน้ำร้อนจะใช้กำลังไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 6 กิโลวัตต์ขึ้นไป ซึ่งทำให้น้ำจะร้อนเกินไป จำเป็นต้องมีน้ำเย็นมาผสมน้อย-มากตามความชอบ ตำแหน่งที่ติดตั้งสามารถซ่อนไว้ใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า หรือบนฝ้า (ต้องเปิดซ่อมได้) หรือติดที่ผนังห้องน้ำเลยก็ได้ แต่ต้องใกล้กับจุดใช้งานให้มากที่สุด สำหรับห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำและเจ้าของมีรสนิยมชอบนอนแช่น้ำร้อนจัดขนาด 6 กิโลวัตต์อาจจะเล็กไป ต้องใช้แบบ 8 กิโลวัตต์ขึ้นไปแทน ทั้งนี้ต้องระวังและเตรียมขนาดสายไฟฟ้าที่จะมาจ่ายให้กับเครื่องทำน้ำร้อน นี้ให้มีขนาดเหมาะสมด้วย
         
ทั้งสองประเภทควรเลือกชนิดที่มีเครื่องมือตัดไฟรั่วในตัวอยู่ด้วย (Earth Leakage) เลือกยี่ห้อที่มีชื่อเสียง หรือมีมาตรฐานรับรอง เพราะเป็นห่วงเรื่องไฟรั่วมาก ของใหม่ๆ ก็ไม่เท่าไร นานๆ ไปอาจสร้างปัญหาให้เราได้ ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็ การต่อสายไฟเข้ากับเครื่องทำน้ำร้อน ต้องมั่นใจว่าน้ำจะไม่เข้าไปถูกขั้วที่ต่อไฟฟ้า


เรื่องการระบายน้ำทิ้ง

    • การออกแบบระบบท่อน้ำทิ้งนั้นใช้หลักการว่า น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ คำนวณขนาดท่อและความลาดเอียงให้เหมาะสม เพื่อให้น้ำไหลในท่อได้เร็วพอที่จะพาขยะ สิ่งโสโครกที่เราขับถ่ายปกติไปสู่บ่อน้ำเสียได้โดยสะดวก ดังนั้นการเดินท่อแนวนอนต้องมีความลาดเอียงลงอย่างน้อย 1:100 (1 เมตร/1 ซม.) จากห้องน้ำไปยังบ่อบำบัดน้ำเสีย จากบ่อบำบัดน้ำเสียไปท่อระบายน้ำฝนรอบบ้าน และจากท่อระบายน้ำฝนไปยังแหล่งปล่อยน้ำทิ้งตลอดแนวท่อระบายน้ำ
      วิศวกรผู้ออกแบบจะต้องสำรวจและไล่ระดับจากต้นจนปลายให้ได้ หากมีความจำเป็นก็อาจจะต้องยกตัวบ้านให้สูงขึ้น หรือทำบ่อพักและสูบน้ำทิ้งออกไปสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะ อุปกรณ์ข้อต่อที่ใช้ต้องเป็นแบบที่ใช้สำหรับการระบายน้ำทิ้งเท่านั้น ห้ามใช้ข้อต่อประปาซึ่งจะมีความโค้งน้อย
    • สำหรับเรื่องกลิ่นนั้น อุปกรณ์ทุกชนิดที่ต่อกับท่อระบายน้ำทิ้งจะต้องมีที่ดักกลิ่น (คอห่าน) ที่ได้มาตรฐานทุกตัว ตัวไหนไม่มี หรือที่ดักกลิ่นไม่ดีกลิ่นที่ไม่ปรารถนาก็จะมาเยือนได้เสมอ ที่ดักกลิ่นหรือ P-Trap ออกแบบให้มีน้ำขังกันอยู่ระหว่างท่อกับตัวสุขภัณฑ์ กันไม่ไห้กลิ่นผ่านน้ำมาได้ ที่ดักกลิ่นที่ดีต้องมีคุณสมบัติหลักคือ สามารถขังน้ำได้สูงพอประมาณและสามารถถอดล้างเอาขยะออกได้สะดวก
      สุขภัณฑ์ที่ขายโดยส่วนใหญ่จะมีที่ดักกลิ่นในตัว เช่น โถส้วม หรือจะให้มาพร้อมกับสุขภัณฑ์ เช่น อ่างล้างหน้า, อ่างอาบน้ำ หากไม่มีหรือไม่ให้มา ก็ต้องซื้อเพิ่ม เช่น อ่างล้านจาน (Sink) สำหรับช่องระบายน้ำที่พื้น (Floor Drain) นั้น เป็นปัญหาหลักที่ทำให้เกิดกลิ่น ควรติดตั้ง P-Trap ใต้ช่องระบายน้ำทุกตัว เนื่องจากสินค้าที่ขายทั่วไปที่มีดักกลิ่นที่ตื้นเกินไป ทำให้น้ำที่ขังอยู่แห้งได้ง่าย ขอย้ำอีกครั้ง สุขภัณฑ์ทุกตัวต้องมีที่ดักกลิ่น (P-Trap)